การอ่านค่าตัวต้านทาน
อ่านค่าความต้านทานจากรหัสสี
การเลือกใช้ตัวต้านทานค่าต่างๆ นั้น วิธีที่รวดเร็วและสะดวก คือ การอ่านค่าความต้านทานที่ปรากฏอยู่บนตัวต้านทานซึ่งแสดงไว้ 2 แบบ ได้แก่ รหัสสี ซึ่งมีลักษณะเป็นแถบวงแหวนสีต่างๆและแบบพิมพ์เป็นตัวเลขและตัวอักษร การแสดงค่าความต้านทานทั้งสองแบบ ดังรูป
รหัสสี
ตัวต้านทานชนิดคาคงที่โดยปกติแล้วจะแบ่งเป็น แบบใช้งานทั่วไป และแบบความเที่ยงตรงสูง ซึ่งตัวต้านทานแบบที่ใช้งานทั่วไปจะมีค่าความคลาดเคลื่อน ฑ5 % หรือมากกว่าและแถบสีแสดงแทนค่าความต้านทานจำนวน 4 แถบ ส่วนตัวค่าความต้านทานแบบเที่ยงตรงสูงจะมีค่าความคลาดเคลื่อน ฑ2 % หรือน้อยกว่า โดยจะมีแถบสีแสดงค่าความต้านทานจำนวน 5 แถบ ส่วนความแตกต่างของตัวต้านทานทั้งสองแบบนี้แสดงในรูป
ีวิธีการอ่านแถบสีของตัวต้านทานแบบใช้งานทั่วไป
1. แถบสีแรก ใช้แสดงตัวเลขหลักแรก และจะไม่เป็นสีดำ
2. แถบสีที่สอง ใช้แสดงเป็นตัวเลขหลักที่สอง
3. แถบสีที่สาม เป็นตัวคูณสำหรับตัวเลข 2 หลักแรก ซึ่งจะมีค่า 1/100 ถึง 10,000,000
4. แถบสีที่สี่ ใช้แสดงค่าความคลาดเคลื่อน ซึ่งมีค่าตั้งแต่ +-5 % ขึ้นไป
วิธีการอ่านแถบสีของตัวต้านทานแบบความเที่ยงตรงสูง
1. แถบสีแรก เป็นตัวเลขหลักแรกของตัวเลขจำนวน 3 หลัก
2. แถบสีที่สอง เป็นตัวเลขหลักที่สอง
3. แถบสีที่สาม เป็นตัวเลขหลักที่สาม
4. แถบสีที่สี่ เป็นตัวคูณสำหรับตัวเลข 3 หลักแรก
5. แถบสีที่ห้า ใช้แสดงค่าความคลาดเคลื่อนซึ่งจะมีค่า +-2 % หรือน้อยกว่า
ด้วยต้นเหตุที่ตัวต้านทานแบบความเที่ยงตรงสูง ให้ค่าความต้านทานที่มีความละเอียดมากกว่า ดังนั้นจึงทำให้ตัวต้านทานมีราคาแพงกว่าตัวต้านทานแบบใช้งานทั่วไป
ตัวอย่าง
ตัวต้านทานขนาด 1/2W จงตอบคำถามต่อไปนี้
1. ตัวต้านทานนี้เป็นแบบใช้งานทั่วไปหรือแบบความเที่ยงตรงสูง
2. ค่าความต้านทานที่อ่านได้ มีค่าเท่าใด
3. ค่าความคลาดเคลื่อน มีค่าเท่าใด
วิธีทำ
1. เป็นตัวต้านทานแบบใช้งานทั่วไป เพราะมีจำนวน 4 แถบ
2. เขียว น้ำเงิน น้ำตาล = 56 x 10 = 560 โอห์ม
3. ค่าความความคลาดเคลื่อนแสดงด้วยสีทอง ซึ่งมีค่าเท่ากับ +-5 %
ค่าความคลาดเคลื่อนที่เป็นไปได้ = +-5 % ของ 560 = 28
560 + 28 = 588 โอห์ม
560 - 28 = 532 โอห์ม
ดังนั้นค่าความต้านทานจะอยู่ระหว่าง 532 โอห์ม ถึง 588 โอห์ม
ตัวอย่าง
จงบอกค่าความต้านทาน ค่าความคลาดเคลื่อน และชนิดของตัวต้านทาน
ตัวอย่าง
ตัวต้านทานขนาด 1/2W มีรหัสสี แดง ดำ ดำ ดำ นำ้ตาล จงตอบคำถามต่อไปนี้
1. ตัวต้านทานนี้เป็นแบบใช้งานทั่วไปหรือแบบความเที่ยงตรงสูง
2. ค่าความต้านทานที่อ่านได้ มีค่าเท่าใด
3. ค่าความคลาดเคลื่อน มีค่าเท่าใด
วิธีทำ
1. เป็นตัวต้านทานแบบความเที่ยงตรงสูง เพราะมีจำนวน 5แถบ
2. แดง ดำ ดำ ดำ นำ้ตาล = 2 0 0 x 10 = 2000 โอห์ม
3. ค่าความความคลาดเคลื่อนแสดงด้วยสีนำตาล ซึ่งมีค่าเท่ากับ +-1 %
ค่าความคลาดเคลื่อนที่เป็นไปได้ = +-1 % ของ 2000 = 20
2000 + 20 = 2020 โอห์ม
2000 - 20 = 1980โอห์ม
ดังนั้นค่าความต้านทานจะอยู่ระหว่าง 1980 โอห์ม ถึง 5220 โอห์ม
การวัดค่าความต้านทาน
เครื่องมือที่ใช้วัดค่าความต้านทานมีชื่อเรียกว่า โอห์มมิเตอร์ (Ohmmeter) วิธีการวัดค่าความต้านทานโดยใช้ แอนะล็อกโอห์มมิเตอร์ ซึ่งมีย่านวัด 4 ย่าน การเลือกย่านวัดไว้ที่ R x 1 นั้นค่าความต้านทานที่วัดได้จึงอ่านได้จากสเกลของโอห์มมิเตอร์โดยตรง ซึ่งค่าที่อ่านได้จะมีค่า 36 โอห์ม และเมื่อนำตัวต้านทานตัวใหม่มาวัดและเปลี่ยนย่านวัดไปที่ R x 10 ค่าสเกลที่อ่านได้เป็น 72 ดังนั้น ค่าความต้านทานจริงจะต้องคูณด้วย 10 ( 72 x 10 = 720 ) นั่นคือค่าที่วัดได้เป็น 720 โอห์ม ส่วนย่านที่วัดได้ที่เหลือได้แก่ R x 100 และ R x 1,000 จะใช้วิธีวัดและวิธีคำนวนในลักษณะเดียวกัน
หลักปฏิบัติเมื่อทำการวัดความต้านทานด้วยแอนะล็อกโอห์มมิเตอร์
1. ทำการปรับเข็มของเครื่องวัดให้ชี้ตำแหน่งที่ 0 โอห์ม ก่อนทำการวัดเสมอ โดยการนำสายวัดทั้งสองมาแตะกัน จากนั้นให้ปรับปุ่ม Zero Adjust
2. ขณะทำการวัดจะต้องไม่มีแรงดันไฟฟ้าในวงจร ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับโอห์มมิเตอร์ ถ้าเป็นไปได้ให้ปลดตัวต้านทานที่ต้องการวัดออกจากวงจรก่อนแล้วจึงทำการวัด
3. ขณะทำการวัดควรปรับย่านการวัดให้เหมาะกับค่าที่วัดได้ โดยให้เข็มของเครื่องวัดชี้แสดงอยู่บริเวณตำแหน่งกึ่งกลางบริเวณหน้าปัดเสมอ
สำหรับดิจิตอลโอห์มมิเตอร์นั้นจะเปลี่ยนย่านการวัดโดยอัตโนมัติ วิธีการวัดนั้นก็สามารถทำได้ง่ายเพียงหมุนปุ่มปรับไปยังตำแหน่งการวัดค่า ความต้านทาน ค่าความต้านทานที่วัดได้จะแสดงเป็นตัวเลขที่อ่านค่าได้ทันที
การทดสอบตัวต้านทาน
การลัดวงจรของตัวต้านทานจนเป็นเหตุให้ค่าความต้านทานภายในมีค่าเป็นศูนย์ นั้น ถือว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมากหรือแถบไม่เกิดขึ้นเลย ส่วนใหญ่จะเกิดการลัดวงจรรจากอุปกรณ์รอบข้างในวงจรมากว่า โดยทั่วไปแล้วโครงสร้างภายในของตัวต่านทานมีแนวโน้มที่จะทำให้ค่าความต้าน ทานมีค่าสูงกว่าที่ระบุไว้ สาเหตุอาจเกิดจากการเปิดวงจรภายในซึ่งทำให้ความต้านทานที่วัดได้มีค่าสูงมาก หรือค่าเป็นอนันต์ ตัวต้านทานชนิดค่าคงที่มักประสบปัญหาจากโครงสร้างภายในเกิดการสึกหรอ ส่วนตัวต้านทานชนิดปรับค่าได้จะมีปัญหาที่คันกรีดที่ต้องสัมผัสกับแถบความ ต้านทานตลอดเวลา ตัวอย่างของความผิดปกติของตัวต้านทานชนิดปรับค่าได้ เช่น เสียงแกรกๆ ขณะทำการปรับความดังหรือปรับเสียงทุ้มแหลมของระบบเครื่องเสียง เป็นต้น
การใช้เครื่องวัดโอห์มมิเตอร์ทดสอบตัวต้านทานมีหลักปฏิบัติดังนี้
1. ต้องปรับเข็มของเครื่องวัดให้ชี้ตำแหน่ง 0 โอห์ม ก่อนทำการวัดทุกครั้ง มิฉะนั้นค่าที่วัดได้จะผิดพลาด ตัวอย่างเช่น ถ้านำปลายสายวัดมาแตะกันแล้วค่าที่อ่านได้เป็น 100 โอห์ม ดังนั้น เมื่อนำไปวัดค่าก็ผิดพลาด 100 โอห์ม เสมอ
2. เครื่องวัดโอห์มมิเตอร์มีแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าภายใน ดังนั้นก่อนการทำการวัดตัวต้านทานจะต้องปลอดแหล่งจ่ายไฟของวงจรออกก่อน การละเลยไม่ปฏิบัตินอกจากจะทำให้ค่าความต้านทานที่วัดได้มีค่าไม่ถูกต้องแล้ว ยังอาจทำเสียหายให้กับเครื่องวัดได้
3. การตีความหมายของค่าที่วัดได้จากดิจิตอลโอห์มมิเตอร์ผิดพลาด ตัวอย่างเช่น เมื่อเลือกย่านการวัดให้แสดงค่าไว้สูงสุด 100 โอห์ม แต่นำไปวัดตัวต้านทานค่า 1 เมกะโอห์ม เครื่องวัดจึงแสดงค่าเป็นอนันต์ ซึ่งอาจจะทำให้เข้าใจว่าตัวต้านทานนั้นเสีย สำหรับกรณีเครื่องวัดแอนะล็อกโอห์มมิเตอร์ ปัญหาอาจเกิดจากการไม่นำย่านการวัดที่เลือกไว้ไปคูณกับค่าที่อ่านได้จึงทำให้ค่าที่วัดได้ผิดพลาด ตัวอย่างเช่น ถ้าตั้งย่านการวัดไว้ที่ R x 100 ค่าความต้านทานที่อ่านได้จะต้องนำมาคูณด้วย 100 จึงจะเป็นค่าความต้านทานที่แท้จริง
4. ในกรณีที่แถบสีแสดงค่าความคลาดเคลื่อนไม่ได้แสดงไว้บนตัวต้านทาน ให้ตั้งสมมติฐานว่า ค่าความต้านทานที่วัดวัดได้อยู่ในย่านที่ยอมรับได้ นั่นคือ เมื่อทำการวัดตัวต้านทานค่า 1000 โอห์ม ค่าที่อ่านได้ควรอยู่ระหว่าง 800 โอห์ม ถึง 1,200 โอห์ม
5. เนื่องด้วยโอห์มมิเตอร์มีแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าภายใน ซึ่งความเป็นจริงแล้วมีค่าน้อยจนไม่สามารถทำอันตรายต่อผู้ใช้ได้ อย่างไรก็ตามจะต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสส่วนปลายของสายวัดหรือโพรบ ทั้งนี้เนื่องจากความต้านทานในร่างกายของมนุษย์ที่มีค่าประมาณ 50 กิโลโอห์ม นั้นอาจทำให้ค่าความต้านทานที่วัดได้เกิดการผิดพลาด
วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553
สายอากาศ
สายอากาศไดโพล เป็นสายอากาศ ที่นักวิทยุสมัครเล่นรู้จักกันโดยทั่วไป และได้ยินบ่อยมากในความถี่ แต่รู้มั้ยว่า สายอากาศไดโพล ยังมีอะไรที่น่าค้นหาอีกหลายอย่าง เอาเป็นว่าสายอากาศไดโพลบางครั้งเราจะเรียกว่า สายอากาศแบบ Hertz หรือ hertzian เพราะว่าสายอากาศแบบนี้ถูก ค้นพบโดย Heinrich Rudolph Hertz เมื่อประมาณปี 1886 สายอากาศแบบ half-wavelength dipole เป็นสายอากาศแบบ สมดุล (balanced) ประกอบด้วยส่วนที่แพร่กระจายคลื่น 2 ส่วนดังรูป
สมดุล (balanced) หมายถึง ปลายสายทั้งสองของมีกระแสไหลเท่ากัน
แต่ละส่วนจะมีความยาว 1/4 ของความยาวคลื่น (quarter-wavelength) เมื่อรวมทั้งสองข้างก็จะเท่ากับ 1/2 ความยาวคลื่น (half-wavelength)
ความยาวครึ่งคลื่นของสายอากาศ (ความยาว L ในรูป) สามารถหาได้จากสูตร (ความยาวคลรึ่งคลื่นในสูญญากาศ)
จงจำเอาไว้ว่าความยาวทางกายภาพ กับความยาวทางไฟฟ้าของสายอากาศ จะแตกต่างกัน (ประมาณ 5 เปอร์เซนต์) โดยความยาวทางกายภาพจะสั้นกว่า เนื่องจากเวลาคลื่นเดินทางผ่านบนโลหะ จะเดินทางได้ช้ากว่าในสูญญากาศ เราจะเรียกว่าค่า velocity factor ความยาวคลึ่งคลื่นของสายอากาศไดโพลที่ใกล้เคียงกับความจริง (ใช้ตัวกลางเป็นโลหะ) คิดได้จากสูตร
ตัวอย่างการคำนวณ
จงหาความยาวโดยประมาณของสายอากาศ half-wavelength dipole ที่ความถี่ 7.25 MHz
ความยาวโดยประมาณเท่ากับ 64 ฟุต 6.6 นิ้ว
The dipole feedpoint
สายอากาศไดโพลแบบ half-wavelength ป้อนกระแสให้ที่จุดกึ่งกลาง
จากรูปแสดงให้เห็นถึง ค่ากระแส และแรงดันบนสายอากาศ ไดโพลแบบ half-wavelength จุดที่เราป้อนจะมีแรงดันต่ำสุดและกระแสสูงสุด จุดที่เราป้อนกระแสจะมีค่า impedance ประมาณ 73 โอห์ม สายนำสัญญาณที่จะมาต่อเข้ากับจุดนี้ก็ต้องมีค่า impedance เท่ากัน เพื่อให้เกิดการส่งผ่านพลังงานได้ดีที่สุด (Maximum power transfer) ถ้าสายนำสัญญาณมีค่า impedance ที่แตกต่างกัน (mismatch) พลังงานที่ส่งไปจากเครื่องส่ง ส่วนหนึ่งจะย้อนกลับมาเข้าเครื่องส่ง ค่านี้เราเรียกกันว่า standing waves (หรืออาจจะเรียกกันว่า SWR,VSWR)
รูปแบบการแพร่กระจายคลื่นของสายอากาศ ไดโพล แบบ half-wavelength เมื่อวางสายอากาศในแนวนอน
จาก รูปเราก็จะเป็นว่าสายอากาศ ไดโพล แบบ half-wavelength จะมีการแพร่กระจายคลื่นออกเป็นสองส่วนหลัก ๆิ หรือก็คือสายอากาศแบบ 2 ทิศทางนั่นเอง (bidirectional) คลื่นจะแพร่ออกทางด้านข้างของตัวนำ ส่วนหัวและท้าย จะไม่มีการพร่ออกมาหรือออกมาน้อยมาก แต่ถ้าเราจับสายอากาศมาวางในแนวดิ่ง การแพร่กระจายคลื่นก็จะออกมาในรูป คล้าย ๆ ขนมโดนัท (doughnut) รูปทั้งสองรูปเป็นการแพร่กระจายคลื่นในสูญญากาศ แต่่เมื่อใช้งานจริง การติดตั้งใกล้กับพื้นโลก (earth’s surface) ทำให้รุปแบบการแพร่กระจายคลื่นผิดเพี้ยนไป
สายอากาศ ไดโพลแบบอื่น ๆ
Inverted-vee dipole
สายอากาศไดโพลแบบ Inverted-vee (ตัว V กลับหัว)
สายอากาศไดโพลแบบ inverted-vee ก็เป็นสายอากาศแบบ half-wavelength เช่นเดียวกับสายอากาศไดโพลที่ได้กล่าวมาในตอนแรก แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างการจัดวางให้เป็นรูปตัว V กลับหัว โดยที่จุดป้อนสัญญาณจะยกให้สูงจากพื้นดินมากที่สุด และ สายอากาศแบบนี้จะสั้นกว่าไดโพลธรรมดาประมาณ 3-5 เปอร์เซนต์
มุม a จะมีค่าระหว่าง 70 - 110 องศา ถ้าต่ำกว่า 70 องศา สายอากาศก็จะคล้าย ๆ สายนำสัญญาณสองเส้นขนานกัน จะมีการแพร่กระจายคลื่นได้น้อย แต่ถ้ามุมเกิน 110 องศาคุณสมบัติต่าง ๆ ก็จะคล้าย ๆ กับ ไดโพลธรรมดา (โดยทั่วไปเราจะใช้ 90 องศา เป็นค่าืี่เหมาะสมที่สุด)
สูตรในการคำนวณสายอากาศไดโพลแบบ Inverted-vee คือ
ผล ของ การทำได้ลวดตัวนำของไดโพล เอียงลงมา (Sloping) ทำให้ความถี่ resonant ลดลง นั่นก็คือ ความยาวทางไฟฟ้า ของสายอากาศเพิ่มขึ้นนั่นเอง ถ้าเราจะให้ความถี่ resonant เท่าเดิม เราก็ต้องลดความยาวของสายอากาศลง ซึ่งก็เป็นผลดี ส่วน impedance และ bandwidth ก็จะลดลงตามไปด้วย
จากข้อมูลเบื้องต้นมีการพูดว่า สายอากาศ ไดโพลแบบ Inverted-vee จะดีกว่า half-wavelength dipole ธรรมดา
• ได โพลแบบ Inverted-vee ใช้เสาหลักที่สูง แค่ 1 ต้น ส่วน half-wavelength dipole ต้องใช้ 2 ต้นเป็นอย่างน้อย และถ้าสายนำสัญญาณมีน้ำหนักมาก อาจจะต้องเพิ่งเสาตรงกลางอีก 1 ต้น แต่ ไดโพลแบบ Inverted-vee สามารถจับยึดสายลงมากับเสากลางได้เลย
• สายอากาศไดโพลแบบ Inverted-vee ใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อยกว่า
• ไดโพลแบบ Inverted-vee สามารถ match กับสายนำสัญญาณแบบ 50 โอห์ม ได้ดีกว่า
รูปแบบการแพร่กระจายคลื่น ระหว่าง inverted-Vee กับ ไดโพล ธรรมดา (ในย่านความถี่ 80 เมตร)
Sloping dipole (sloper หรือ slipole)
สายอากาศแบบนี้จะเป็นที่นิยม เนื่องจาก มีมุมการแพร่กระจายคลื่นที่ต่ำกว่า มีการแพร่กระจายคลื่นได้แรงที่สุดเพียงด้านเดียว
Broadbanded dipoles
สายอากาศแบบ Folded dipole เป็น สายอากาศพื้นฐานที่ประกอบด้วย สายอากาศ half-wavelength จำนวน 2 ชิ้นมาต่อเข้าด้วยกัน (shorted) และมีการป้อนสัญญาณที่จุดกึ่งกลางของตัวนำ 1 ด้าน สายอากาศแบบนี้จะมีค่า impedance ประมาณ 300 โอห์ม ซึ่งจะให้กับสายนำสัญญาณแบบ twin-lead สายอากาศแบบนี้จะมีข้อดีคือ bandwidth กว้าง (wide-bandwidth)
Folded dipole fed with coaxial cable
ข้อเสียของสายอากาศแบบ Folded dipole ก็คือมีค่า impedance 300 โอห์ม ซึ่งไม่เหมาะสมกับเครื่องส่งในปัจจุบัน ที่ ได้รับการออกแบบให้ใช้กับสายนำสัญญาณแบบ coaxial-cable แต่ว่าเราก็สามารถที่จะแก้ปัญหาได้โดยการใช้ หม้อแปลง 4:1 balun ที่จุดป้อนสัญญาณ (ดังรูป)
Bowtie dipole (สักษณะคล้าย ๆ หูกระต่าย)
สาย อากาศแบบ bowtie dipole เป็นที่นิยมในช่วงปี 1930s ถึง 1940s, จนกลายเป็นพื้นฐานสายอากาศของเครื่องรับโทรทัศน์ในตอนแรก ต่อมาใช่ช่วงปี 1950s เรียกสายอากาศแบบนี้ว่าื Wonder Bar antenna แต่ระยะหลังได้รับความนิยมลดลง
Cage dipole (ลักษณะคล้าย ๆ กรงนก)
สาย อากาศแบบ cage diople มีแนวคิดเดียวกับสายอากาศ ไดโพลแบบ bowtie แต่ลักบณะโครงสร้างแตกต่างกัน แนวคิดที่จะรวมเอาสายอากาศไดโพล หลาย ๆ เส้นมาขนานกันโดยใช้สายนำสัญญาณเส้นเดียวกัน จะใช้ฉนวน (อาจจะทำมาจาก plexiglass, lucite, หรือ ceramic) มาคั่นระหว่างสายลวดตัวนำแต่ละเส้น
ในบางครั้งสายอากาศ ไดโพลแบบ half-wavelength อาจจะมีความยาวเกินไป ในการใช้งานบางรูปแบบ วิธีการแก้ปัญหานี้ก็คือ การนำ coil-loaded มาใช้เพื่อลดความยาวของไดโพลลง (ดังรูป)
การใช้ coil-loaded จะเป็นการเพิ่มความยาวทางไฟฟ้า (electrical length) ของลวดตัวนำ โดยไม่ต้องเพิ่มความยาวทางกายภาพ (physical length)
Off-center-fed full-wave doublet (OCFD) antennas
สายอากาศแบบเราจะรู้จักในนามของสายอากาศแบบ Windom (ผู้ประดิษฐ์คือ Loren G. Windom , W8GZ)
สาย อากาศแบบนี้จะทำงานได้ดีเมื่ออยู่สูงกว่าพื้นดิน อย่างน้อย lambda/2 ในทางปฎิบัตจะให้กับความถี่ที่สูงกว่า 10 MHz ขึ้นไปจุดป้อนสัญญาณจะห่างจากปลาย lambda/4 สามารถ match กับสายนำสัญญาณแบบ 75 โอห์มได้เป็นอย่างดี และควรต่อร่วมกับ หม้อแปลง 1:1 balun ด้วย สายอากาศแบบนี้จะมีความยาวรวม 1 lambda อัตราการขยายประมาณ 1dB
สายนำสัญญาณTRANSMISSION LINE
(ภาษาทั่วไป= สายอากาศ)
สายนำสัญญาณที่ดี ควรมีลักษณะดังนี้ คือ มีความต้านทานต่ำ นำสัญญาณด้วยความเร็วใกล้เคียงแสง มีกำลังสูญเสียต่ำหรือลดทอนกำลังสัญญาณวิทยุต่ำ และในการเลือกสายนำสัญญาณต้องมีค่าอิมพีแดนซ์เท่ากับค่าอิมพีแดนซ์ของ เครื่องรับ-ส่งด้วยหรือที่เรียกว่า MATCHING ถึงจะนำสัญญาณได้ดี
ตัวอย่างสายนำสัญญาณ
TWIN LEAD มีค่า IMPEDANCE ประมาณ 300 โอห์ม
สาย นำสัญญาณ COAXIAL มีค่า IMPEDANCE ประมาณ 50 โอห์ม โดยทั่วไปเครื่องรับ-ส่งวิทยุ จะใช้สายชนิดนี้เพราะมีชีลด์เป็นตัวป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอก
เทคกะนิคช่าง
สายอากาศ
(ภาษาทั่วไป = แผงอากาศ)
ขณะรับทำหน้าที่เปลี่ยนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าความถี่วิทยุ เข้าเครื่อง และขณะส่งเปลี่ยนความถี่วิทยุจากเครื่องส่งให้เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่ออก อากาศ ในการเลือกสายอากาศ สายอากาศต้องมีค่าอิมพีแดนซ์เท่ากับค่าอิมพีแดนซ์ของเครื่องรับ-ส่งด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายแก่เครื่องรับ-ส่งวิทยุ เพื่อให้แผ่กระจายคลื่นได้ไกลและใช้งานเครื่องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ตัวอย่างสายอากาศ
ศัพท์
DIRECTIONAL ANTEANA เป็นลักษณะการแผ่กระจายคลื่นออกได้ดีในทิศทางที่กำหนด (แบบทิศทาง) ซึ่งจะมี ANTENNA ROTATOR ติดตั้งอยู่กับเสาเพื่อหมุนปรับเปลี่ยนทิศทางของสายอากาศ
ISOTROPIC หมายถึง สายอากาศที่สามรถแผ่กระจายคลื่นได้ทุกทิศทางและแรงเท่ากัน
OMIDIRECTIONAL ANTENNA เป็นลักษณะการแผ่กระจายคลื่นออกรอบทิศในแนวขนานพื้นโลก
RADIATION PATTERN หมายถึงรูปแบบการกระจายคลื่นของสายอากาศ
ตัวอย่าง สายอากาศแบบทิศทาง เช่น YAGI ซึ่งมีค่า GAINมาก และมีค่า RADIATION RESISTANE 300 โอห์ม ซึ่งสายอากาศนี้ยังใช้ในการหาสถานีที่กำลังออกอากาศได้ด้วย
1. รีเฟลกเตอร์ 2. ไดรเว่นอีลีเมน 3. ไดรเวกเตอร์ 4. บูม
...*.. ในการติดตั้งสายอากาศของเครื่องรับ-ส่ง ต้องขนานกันถึงจะรับ-ส่งได้ดี ดังนั้นต้องรู้ว่าอีกฝ่าย ติดตั้งแบบไหน HOR หรือ VER HORIZONTAL ขนานพื้นโลก, VORTICAL ตั้งฉากพื้นโลก
การสูญเสียในสายนำสัญญาณ
เราสามารถแบ่งการสูญเสียในสายนำสัญญาณได้ 3 ประเภท คือ
1. การสูญเสียในสายทองแดง (Copper Loss)
2. การสูญเสียไดอีเล็คตริก (Dielectric Loss)
3. การสูญเสียเนื่องจากการแพร่กระจายคลื่นและการเหนี่ยวนำ (Radiation And Induction LOSS) ....
การสูญเสียในสายทองแดง (Copper Loss)
เนื่องจากมีค่าความต้านทานภายในสายนำสัญญาณ ฉะนั้นกระแสที่ไหลผ่านสายทองแดงที่มีค่าความต้านทาน จะเกิดสูญเสียอกกมาในรูปพลังงานความร้อน ความต้านทานของสายตัวนำ ถ้ามีพื้นที่มาก(สายใหญ่)ความต้านทานจะน้อยมาก ถ้าสายมีความยาวมากความต้านทานจะยิ่งมีมากขึ้น หรือในสายทองแดงมีการสูญเสียความถี่ ปรากฏการณ์นี้เกิดจากกระแสถูกต่อต้านจากการเหนี่ยวนำภายในตัวนำ ทำให้กระแสไหลได้น้อยในบริเวณจุดศูนย์กลางของสาย จึงทำให้กระแสส่วนใหญ่ไหลบริเวณผิวของตัวนำและเมื่อความถี่สูงขึ้น กระแสบริเวณจุดศูนย์กลางของสายจะถูกต่อต้านสูงขึ้น ทำให้กระสำไหลได้น้อย นั่นคือความต้านทานของสายสูงขึ้น กระแสจะไหลเฉพาะพ้นผิวตัวนำ เราเรียกว่า Skin Effect ดังนั้นสายที่ใช้งานทางด้านความถี่สูง จึงนิยมเคลือบเงินที่ผิวเพื่อลดค่าความต้านทาน เพราะเงินเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีและกระแสก็จะไหลในพื้นผิวเงินนี้
การสูญเสียไดอีเล็คตริก (Dielectric Loss)
เมื่อมีความต่างศักย์ระหว่างสายตัวนำจะทำให้ เกิดประจุไฟฟ้าขึ้นบนสาย เมื่อมีค่าความต่างศักย์อิเล็กตรอนจะได้รับอิทธิพลจากสนามไฟฟ้า ทำให้การโคจรเสียรูปเดิมไป การสูญเสียไดอิเล็กตริกจะกลายเป็นความร้อน สายบางอย่างมีโครงสร้างอะตอม ซึ่งยากต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น ยาง อากาศ ทำให้สูญเสียไดอิเล็กตริกมีน้อย ดังนั้นไดอิเล็กตริกที่ใช้ ในสายโคแอกเชียลจะต้องเป็นชนิดที่มีการสูญเสียต่ำ เช่น สายโพลีเอทีลีน การสูญเสียไดอีเล็กตริก จะขึ้นอยู่กับแรงดันตกคร่อมไดอีเล็กตริกด้วย สายโคแอกเชียลจะมีย่านความถี่ใช้งาน จำกัดไม่เกินความถี่ GHz ทั้งนี้เป็นผลมาจากการสูญเสียไดอีเลคตริกและการสูญเสียเนื่องจากปรากฎการณ์ ที่ผิวตัวนำ
การสูญเสียเนื่องจากการแพร่กระจายคลื่นและการเหนี่ยวนำ (Radiation And Induction LOSS)
เกิดจากการไหลของกระแส ซึ่งทำให้เกิดสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้ารอบตัวนำ พลังงานที่แพร่กระจายออกไปนี้บางส่วนจะสูญเสียเนื่องจากประจุ และการเหนี่ยวนำวัตถุที่แวดล้อมและใกล้เคียงกับสายตัวนำ การสูญเสียจะมีค่าน้อยก็ต่อเมื่อเราต่อโหลดแมทช์และ ชีลด์สายไม่ให้เกิดการแพร่กระจายคลื่นเล็ดรอดออกมาภายนอก ดังนั้นสายโคแอกเชียลจึงมีการสูญเสียการแพร่กระจายคลื่นน้อยเพราะมีชีลด์ อยู่ในตัว
สายอากาศ
สายอากาศเป็นส่วนที่สำคัญของเครื่องรับและเครื่องส่ง ซึ่งทำหน้าที่แพร่กระจายคลื่นจากเครื่องส่งออกอากาศ และรับคลื่นวิทยุเข้าสู่เครื่องรับ สายอากาศประกอบไปด้วยลวดตัวนำเป็นท่อตันหรือกลวง ทำหน้าที่เสมือนวงจรไฟฟ้า ที่มีตัวเหนี่ยวนำและตัวเก็บประจุต่ออยู่ ลวดตัวนำอาจเป็นเส้นตรงหรืองอโค้ง แล้วแต่ชนิดของสายอากาศโดยทั่วไปจะมีขนาดความยาวใกล้เคียงกับความยาวคลื่น l (แลมด้า Lamda) เราจึงสามารถใช้สายอากาศทำหน้าที่ได้ทั้งสายอากาศส่งหรือสายอากาศรับ
การแพร่กระจายคลื่นสายอากาศแบบนี้จะหักล้างกันน้อยมาก และสามารถส่งออกอากาศได้มาก สนามแม่เหล็กจะกระจานไปรอบๆทำให้การแพร่คลื่นออกได้เต็มที่ ซึ่งเราเรียกสายอากาศแบบนี้ว่า ไดโพล ความยาวของสายอากาศแต่ละข้างยาวเท่ากับ l/4 ความยาวรวมเท่ากับ l/2 เราเรียกสายอากาศชนิดนี้ว่า ฮาฟเวฟไดโพล (Half Wave Dipole) จุดกลางของสายอากาศเราจะป้อนสัญญาณเข้าเรียกว่า จุดฟิด (feed point) ซึ่งจะมีกระแสไหลมากที่สุดและแรงดันน้อยที่สุดที่จุดฟิด จะมีอิมพีแดนช์ของสายอากาศเท่ากับ 73 โอห์ม และมีกระแสไหลน้อยที่สุดมีแรงดันมากที่สุดที่บริเวณปลายสุดของสายอากาศทั้ง สองข้าง กระจายออกสู่อากาศวิ่งจะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้นด้วย เพราะมีกระแสไหลในสายอากาศเนื่องจากกระแสไหลมากที่สุดบริเวณจุดฟีด สนามแม่เหล็กตรงจุดฟีดจึงแรงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถกระจายออกอากาศไป ได้ไกล สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดเหนี่ยวนำบนเส้นลวดสายอากาศเราเรียกค่าที่วัดได้ ว่า ความแรงสนาม (Field Strength) ความแรงสนามจะขึ้นอยู่กับระยะห่างจากเครื่องส่งและกำลังส่ง ความแรงจะน้อยลง ณ จุดที่ห่างออกไป
รูปแบบการแพร่กระจายของคลื่นและบีมวิดท์
เป็นการเขียนรูปแบบเพื่อแสดงความสามารถในการส่งหรือรับสัญญาณของสายอากาศ ชนิดต่าง ๆ เนื่องจากความสามารถของสายอากาศในการแพร่กระจายคลื่นในทิศทางต่าง ๆ ไม่เท่ากันดังรูป A.
บีมวิดท์เป็นการวัดความกว้างของลำคลื่น โดยพิจารณาเฉพาะคลื่นในทิศทางที่รุนแรงที่สุด แล้วอ่านค่าความกว้างของมุม ดังรูป B.
อัตราการขยายของสายอากาศ
เป็น การเปรียบเทียบ out put ของสายอากาศในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเทียบกับ out put ของสายอากาศอ้างอิง (Reference Antenna) ปกติเรานิยมใช้สายอากาศไดโพลชนิดฮาฟเวฟ เป็นสายอากาศอ้างอิง เช่น สมมุติว่าสายอากาศมีอัตราขยาย 20 dB (หรือ 20 เท่า) หมายความว่า ในทิศทางนั้นส่ายอากาศต้นนั้นลงคลื่นออกไปแรงกว่าสายอากาศอ้างอิงอยู่ 20 dB ถ้าสายอากาศออกไปได้ดีในทิศทางหนึ่ง ส่วนทิศทางอื่นก็จะด้อยลงไป อัตราการขยาย (Gain) ของสายอากาศไม่ได้หมายความว่ากำลัง Out put ของสายอากาศมากกว่ากำลัง In put หากแต่เป็นอัตราขยายที่คิดเทียบกับสายอากาศอ้างอิง
อัตราการขยายของสายอากาศ
สายอากาศไดโพลเป็นสายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดความยาวของสายเท่ากับ ที่ความถี่ใช้งานเราสามารถคำนวณความยาวได้จากสูตร
l = ความถี่คลื่นมีหน่วยเป็นเมตร
F = ความถี่ใช้งานมีหน่วยเป็น เฮิร์ต (Hz)
เนื่องจากคลื่นเดินทางในอากาศ (free space) หรือคลื่นเดินทางในตัวนำด้านปลาย เสมือนมีความยาวทางไฟฟ้ามากกว่าปกติ จึงต้องใช้สูตร
รูปการ แพร่กระจายคลื่นของสายอากาศแบบฮาฟเวฟไดโพล จะแพร่กระจายคลื่นเท่ากันหมดในทิศทางรอบตัวของสายอากาศ และการแพร่กระจายคลื่นจะน้อยที่สุดในทิศทางชี้ฟ้าและลงดินของสายอากาศ
สายอากาศแนวดิ่ง
เรา ต้องใช้สายอากาศที่วางตัวในแนวดิ่งจึงทำให้ติดตั้งลำบาก สายอากาศชนิดฮาฟเวฟไดโพล จึงต้องยกสายอากาศให้สูงจากพื้นดินมาก ถ้าเราวางสายอากาศที่มีความยาว l/4 บนระนาบตัวนำเพื่อทำหน้าที่เป็นกราวนด์ (Perfect ground) จะได้เสมือนกับใช้สายอากาศไดโพลชนิดฮาฟเวฟ เพราะระนาบกราวด์เสมือนกระจกที่ทำให้เกิดลวดสายอากาศอีกเส้นหนึ่ง l/4
รวมความยาวทั้งสองข้างเท่ากับ l /2สายอากาศชนิดนี้จะทำงานได้ดีก็ต่อ เมื่อพื้นกราวนด์เป็นตัวนำ ถ้าหากติดตั้งบนพื้นดินที่มีคุณสมบัติเป็นตัวนำไม่ดี
เรา จะต้องสร้างพื้นกราวนด์เพิ่มอีก โดยใช้ลวดทองแดงต่อออกจากฐานของสายอากาศไปรอบทิศทาง อย่างน้อย 4-5 ทิศทาง เราเรียกว่า Radial จะทำหน้าทีเป็นเสมือนกราวนด์ให้แก่สายอากาศ สายอากาศชนิดควอเตอร์เวฟจะมีค่า Zo อิมพีแดนช์ ประมาณ 36 โอห์ม เราจึงสามารถใช้สายนำสัญญาณแบบโคแอกเชียลต่อได้โดยตรง ไม่ต้องมีบาลัน โดยชีลด์ของสายโคแอกเชียลต่อกับกราวนด์ได้เลย สายอากาศประเภทนี้นิยมนำไปใช้เป็นสายอากาศแบบติดรถยนต์โดยใช้ตัวถังรถยนต์ เป็นตัว Radial หรือสายอากาศแบบกราวนด์เพลน 5/8 เป็นต้น
ในบางครั้งเราจำเป็นต้องจำกัดทิศทางการแพร่กระจายคลื่น เราจะใช้สายอากาศแบบทิศทาง ซึ่งเราเรียกสายอากาศชนิดนี้ว่าแบบ ยากิ (YAKI )
สายอากาศแบบทิศทาง ยากิ (Yaki)
ถ้าเรานำสายอากาศหลายๆชุดมาต่อเรียงแถว เรียกว่าเป็นแอเรย์ อัตราขยายของสายอากาศจะมากขึ้น และสามารถควบคุมทิศทางการแพร่คลื่นได้
สายอากาศที่ไม่ได้ต่อเข้ากับสายนำสัญญาณ แต่สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสหรือ แรงดันบนตัวสาย อากาศเราเรียกว่า Parasitic Element ดังรูป
จาก รูป อีลิเมนท์จะวางห่างจากไดโพลเป็นระยะห่างเท่ากับ l/4 เราเรียกไดโพลว่า ตัวถูกขับ ( Driven Element ) ซึ่งมีความยาวเท่ากับ l/2
ถ้าเรารับ คลื่นเข้ามาจะเข้าที่ ไดเรกเตอร์ ( Director) ซึ่งมีความยาวจะสั้นกว่า l/2 ประมาณ 5 % และความยาวของไดเรกเตอร์จะอยู่ห่างจาก ตัวขับประมาณ 0.1l จะเกิดการเหนี่ยวนำ เฟสจะเปลี่ยนไป90 องศา พอคลื่นเหนี่ยวนำลงบนไดโพล ก็จะมีเฟสกลับทางไป 180 องศา และจากไดโพลจะเหนี่ยวนำไปยัง รีเฟลกเตอร์ ( Reflector ) ซึ่งรีเฟลกเตอร์จะเหนี่ยวนำเกิดกระแสไหลในตัวรีเฟลกเตอร์แล้วจะแพร่คลื่นออก มาเหนี่ยวนำที่ ตัวถูกขับ ( Driven Element ) จะเปรียบเสมือนรีเฟลกเตอร์เป็นตัวสะท้อนคลื่นนั้นเองซึ่งจะอยู่ห่างจากไดโพ ลประมาณ 0.18l ถึง 0.2l และมีความยาวของรีเฟลกเตอร์มักจะยาวกว่า ไดโพล ประมาณ 5 %
ในการส่งออกอากาศนั้นสายอากาศยากิ 3 อิลีเมนท์ จากรูป ข แสดงให้เห็นการแพร่กระจายคลื่นของไดโพล และการเสริมของรูปแบบการแพร่กระจายคลื่นของตัวรีเฟลกเตอร์กับไดเรกเตอร์ ทำให้เราได้รูปแบบรวมเป็นลักษณะบีมเดียว บีมวิดท์แคบลงอัตราขยายสูงขึ้น เราสามารถเพิ่ม อีลิเมนท์ของไดเรกเตอร์ให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่ออัตราการขยายของสายอากาศให้สูงขึ้นไปอีกด้วย
ไดโพล 4 ห่วง
การแพร่กระจายคลื่น Polarisation
Antenna จานสายอากาศทำหน้าที่แพร่กระจายและรับคลื่นสัญญาณ โดยมีรูปแบบการกระจายแบบต่างๆ คือ
• Linear Polarisation การแพร่กระจายคลื่นเป็นแนวตรง ได้แก่
o Horizontal Polarisation การแพร่กระจายคลื่นในแนวนอน
o Vertical Polarisation การแพร่กระจายคลื่นในแนวตั้ง
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
เมื่อใช้จานสายอากาศแบบLinear จะอ่าน Tag ได้ดีที่สุดเมื่อTagผ่านเข้ามาในแนวนอนและแนวดิ่ง
• Circular Polarization การแพร่กระจายคลื่นเป็นวงกลม
o Righthand Circular Polarization: RHCP การแพร่กระจายคลื่นเป็นวงกลมเวียนขวา
o Lefthanded Circular Polarization: LHCP การแพร่กระจายคลื่นเป็นวงกลมเวียนซ้าย
สำหรับจานสายอากาศแบบ Circular จะอ่าน Tag ได้แม้ไม่อยู่ในแนวตรง
การวัดอัตรากำลังขยาย(Gain)ของจานสายอากาศ หน่วยวัดเป็น dBi
แบบLinear ใช้หน่วยวัดเป็น dBi (Isotropic)
แบบCircular ใช้หน่วยวัดเป็น dBiC (Circular)
เทียบค่า Gain (dBi) = dBiC - 2.15 dBi เช่น เมื่อต้องการเทียบว่า 7.5 dBiC เท่ากับกี่ dBi
Gain (dBi) = 7.5 dBiC - 2.15 = 5.35 dBi
สมดุล (balanced) หมายถึง ปลายสายทั้งสองของมีกระแสไหลเท่ากัน
แต่ละส่วนจะมีความยาว 1/4 ของความยาวคลื่น (quarter-wavelength) เมื่อรวมทั้งสองข้างก็จะเท่ากับ 1/2 ความยาวคลื่น (half-wavelength)
ความยาวครึ่งคลื่นของสายอากาศ (ความยาว L ในรูป) สามารถหาได้จากสูตร (ความยาวคลรึ่งคลื่นในสูญญากาศ)
จงจำเอาไว้ว่าความยาวทางกายภาพ กับความยาวทางไฟฟ้าของสายอากาศ จะแตกต่างกัน (ประมาณ 5 เปอร์เซนต์) โดยความยาวทางกายภาพจะสั้นกว่า เนื่องจากเวลาคลื่นเดินทางผ่านบนโลหะ จะเดินทางได้ช้ากว่าในสูญญากาศ เราจะเรียกว่าค่า velocity factor ความยาวคลึ่งคลื่นของสายอากาศไดโพลที่ใกล้เคียงกับความจริง (ใช้ตัวกลางเป็นโลหะ) คิดได้จากสูตร
ตัวอย่างการคำนวณ
จงหาความยาวโดยประมาณของสายอากาศ half-wavelength dipole ที่ความถี่ 7.25 MHz
ความยาวโดยประมาณเท่ากับ 64 ฟุต 6.6 นิ้ว
The dipole feedpoint
สายอากาศไดโพลแบบ half-wavelength ป้อนกระแสให้ที่จุดกึ่งกลาง
จากรูปแสดงให้เห็นถึง ค่ากระแส และแรงดันบนสายอากาศ ไดโพลแบบ half-wavelength จุดที่เราป้อนจะมีแรงดันต่ำสุดและกระแสสูงสุด จุดที่เราป้อนกระแสจะมีค่า impedance ประมาณ 73 โอห์ม สายนำสัญญาณที่จะมาต่อเข้ากับจุดนี้ก็ต้องมีค่า impedance เท่ากัน เพื่อให้เกิดการส่งผ่านพลังงานได้ดีที่สุด (Maximum power transfer) ถ้าสายนำสัญญาณมีค่า impedance ที่แตกต่างกัน (mismatch) พลังงานที่ส่งไปจากเครื่องส่ง ส่วนหนึ่งจะย้อนกลับมาเข้าเครื่องส่ง ค่านี้เราเรียกกันว่า standing waves (หรืออาจจะเรียกกันว่า SWR,VSWR)
รูปแบบการแพร่กระจายคลื่นของสายอากาศ ไดโพล แบบ half-wavelength เมื่อวางสายอากาศในแนวนอน
จาก รูปเราก็จะเป็นว่าสายอากาศ ไดโพล แบบ half-wavelength จะมีการแพร่กระจายคลื่นออกเป็นสองส่วนหลัก ๆิ หรือก็คือสายอากาศแบบ 2 ทิศทางนั่นเอง (bidirectional) คลื่นจะแพร่ออกทางด้านข้างของตัวนำ ส่วนหัวและท้าย จะไม่มีการพร่ออกมาหรือออกมาน้อยมาก แต่ถ้าเราจับสายอากาศมาวางในแนวดิ่ง การแพร่กระจายคลื่นก็จะออกมาในรูป คล้าย ๆ ขนมโดนัท (doughnut) รูปทั้งสองรูปเป็นการแพร่กระจายคลื่นในสูญญากาศ แต่่เมื่อใช้งานจริง การติดตั้งใกล้กับพื้นโลก (earth’s surface) ทำให้รุปแบบการแพร่กระจายคลื่นผิดเพี้ยนไป
สายอากาศ ไดโพลแบบอื่น ๆ
Inverted-vee dipole
สายอากาศไดโพลแบบ Inverted-vee (ตัว V กลับหัว)
สายอากาศไดโพลแบบ inverted-vee ก็เป็นสายอากาศแบบ half-wavelength เช่นเดียวกับสายอากาศไดโพลที่ได้กล่าวมาในตอนแรก แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างการจัดวางให้เป็นรูปตัว V กลับหัว โดยที่จุดป้อนสัญญาณจะยกให้สูงจากพื้นดินมากที่สุด และ สายอากาศแบบนี้จะสั้นกว่าไดโพลธรรมดาประมาณ 3-5 เปอร์เซนต์
มุม a จะมีค่าระหว่าง 70 - 110 องศา ถ้าต่ำกว่า 70 องศา สายอากาศก็จะคล้าย ๆ สายนำสัญญาณสองเส้นขนานกัน จะมีการแพร่กระจายคลื่นได้น้อย แต่ถ้ามุมเกิน 110 องศาคุณสมบัติต่าง ๆ ก็จะคล้าย ๆ กับ ไดโพลธรรมดา (โดยทั่วไปเราจะใช้ 90 องศา เป็นค่าืี่เหมาะสมที่สุด)
สูตรในการคำนวณสายอากาศไดโพลแบบ Inverted-vee คือ
ผล ของ การทำได้ลวดตัวนำของไดโพล เอียงลงมา (Sloping) ทำให้ความถี่ resonant ลดลง นั่นก็คือ ความยาวทางไฟฟ้า ของสายอากาศเพิ่มขึ้นนั่นเอง ถ้าเราจะให้ความถี่ resonant เท่าเดิม เราก็ต้องลดความยาวของสายอากาศลง ซึ่งก็เป็นผลดี ส่วน impedance และ bandwidth ก็จะลดลงตามไปด้วย
จากข้อมูลเบื้องต้นมีการพูดว่า สายอากาศ ไดโพลแบบ Inverted-vee จะดีกว่า half-wavelength dipole ธรรมดา
• ได โพลแบบ Inverted-vee ใช้เสาหลักที่สูง แค่ 1 ต้น ส่วน half-wavelength dipole ต้องใช้ 2 ต้นเป็นอย่างน้อย และถ้าสายนำสัญญาณมีน้ำหนักมาก อาจจะต้องเพิ่งเสาตรงกลางอีก 1 ต้น แต่ ไดโพลแบบ Inverted-vee สามารถจับยึดสายลงมากับเสากลางได้เลย
• สายอากาศไดโพลแบบ Inverted-vee ใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อยกว่า
• ไดโพลแบบ Inverted-vee สามารถ match กับสายนำสัญญาณแบบ 50 โอห์ม ได้ดีกว่า
รูปแบบการแพร่กระจายคลื่น ระหว่าง inverted-Vee กับ ไดโพล ธรรมดา (ในย่านความถี่ 80 เมตร)
Sloping dipole (sloper หรือ slipole)
สายอากาศแบบนี้จะเป็นที่นิยม เนื่องจาก มีมุมการแพร่กระจายคลื่นที่ต่ำกว่า มีการแพร่กระจายคลื่นได้แรงที่สุดเพียงด้านเดียว
Broadbanded dipoles
สายอากาศแบบ Folded dipole เป็น สายอากาศพื้นฐานที่ประกอบด้วย สายอากาศ half-wavelength จำนวน 2 ชิ้นมาต่อเข้าด้วยกัน (shorted) และมีการป้อนสัญญาณที่จุดกึ่งกลางของตัวนำ 1 ด้าน สายอากาศแบบนี้จะมีค่า impedance ประมาณ 300 โอห์ม ซึ่งจะให้กับสายนำสัญญาณแบบ twin-lead สายอากาศแบบนี้จะมีข้อดีคือ bandwidth กว้าง (wide-bandwidth)
Folded dipole fed with coaxial cable
ข้อเสียของสายอากาศแบบ Folded dipole ก็คือมีค่า impedance 300 โอห์ม ซึ่งไม่เหมาะสมกับเครื่องส่งในปัจจุบัน ที่ ได้รับการออกแบบให้ใช้กับสายนำสัญญาณแบบ coaxial-cable แต่ว่าเราก็สามารถที่จะแก้ปัญหาได้โดยการใช้ หม้อแปลง 4:1 balun ที่จุดป้อนสัญญาณ (ดังรูป)
Bowtie dipole (สักษณะคล้าย ๆ หูกระต่าย)
สาย อากาศแบบ bowtie dipole เป็นที่นิยมในช่วงปี 1930s ถึง 1940s, จนกลายเป็นพื้นฐานสายอากาศของเครื่องรับโทรทัศน์ในตอนแรก ต่อมาใช่ช่วงปี 1950s เรียกสายอากาศแบบนี้ว่าื Wonder Bar antenna แต่ระยะหลังได้รับความนิยมลดลง
Cage dipole (ลักษณะคล้าย ๆ กรงนก)
สาย อากาศแบบ cage diople มีแนวคิดเดียวกับสายอากาศ ไดโพลแบบ bowtie แต่ลักบณะโครงสร้างแตกต่างกัน แนวคิดที่จะรวมเอาสายอากาศไดโพล หลาย ๆ เส้นมาขนานกันโดยใช้สายนำสัญญาณเส้นเดียวกัน จะใช้ฉนวน (อาจจะทำมาจาก plexiglass, lucite, หรือ ceramic) มาคั่นระหว่างสายลวดตัวนำแต่ละเส้น
ในบางครั้งสายอากาศ ไดโพลแบบ half-wavelength อาจจะมีความยาวเกินไป ในการใช้งานบางรูปแบบ วิธีการแก้ปัญหานี้ก็คือ การนำ coil-loaded มาใช้เพื่อลดความยาวของไดโพลลง (ดังรูป)
การใช้ coil-loaded จะเป็นการเพิ่มความยาวทางไฟฟ้า (electrical length) ของลวดตัวนำ โดยไม่ต้องเพิ่มความยาวทางกายภาพ (physical length)
Off-center-fed full-wave doublet (OCFD) antennas
สายอากาศแบบเราจะรู้จักในนามของสายอากาศแบบ Windom (ผู้ประดิษฐ์คือ Loren G. Windom , W8GZ)
สาย อากาศแบบนี้จะทำงานได้ดีเมื่ออยู่สูงกว่าพื้นดิน อย่างน้อย lambda/2 ในทางปฎิบัตจะให้กับความถี่ที่สูงกว่า 10 MHz ขึ้นไปจุดป้อนสัญญาณจะห่างจากปลาย lambda/4 สามารถ match กับสายนำสัญญาณแบบ 75 โอห์มได้เป็นอย่างดี และควรต่อร่วมกับ หม้อแปลง 1:1 balun ด้วย สายอากาศแบบนี้จะมีความยาวรวม 1 lambda อัตราการขยายประมาณ 1dB
สายนำสัญญาณTRANSMISSION LINE
(ภาษาทั่วไป= สายอากาศ)
สายนำสัญญาณที่ดี ควรมีลักษณะดังนี้ คือ มีความต้านทานต่ำ นำสัญญาณด้วยความเร็วใกล้เคียงแสง มีกำลังสูญเสียต่ำหรือลดทอนกำลังสัญญาณวิทยุต่ำ และในการเลือกสายนำสัญญาณต้องมีค่าอิมพีแดนซ์เท่ากับค่าอิมพีแดนซ์ของ เครื่องรับ-ส่งด้วยหรือที่เรียกว่า MATCHING ถึงจะนำสัญญาณได้ดี
ตัวอย่างสายนำสัญญาณ
TWIN LEAD มีค่า IMPEDANCE ประมาณ 300 โอห์ม
สาย นำสัญญาณ COAXIAL มีค่า IMPEDANCE ประมาณ 50 โอห์ม โดยทั่วไปเครื่องรับ-ส่งวิทยุ จะใช้สายชนิดนี้เพราะมีชีลด์เป็นตัวป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอก
เทคกะนิคช่าง
สายอากาศ
(ภาษาทั่วไป = แผงอากาศ)
ขณะรับทำหน้าที่เปลี่ยนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าความถี่วิทยุ เข้าเครื่อง และขณะส่งเปลี่ยนความถี่วิทยุจากเครื่องส่งให้เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่ออก อากาศ ในการเลือกสายอากาศ สายอากาศต้องมีค่าอิมพีแดนซ์เท่ากับค่าอิมพีแดนซ์ของเครื่องรับ-ส่งด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายแก่เครื่องรับ-ส่งวิทยุ เพื่อให้แผ่กระจายคลื่นได้ไกลและใช้งานเครื่องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ตัวอย่างสายอากาศ
ศัพท์
DIRECTIONAL ANTEANA เป็นลักษณะการแผ่กระจายคลื่นออกได้ดีในทิศทางที่กำหนด (แบบทิศทาง) ซึ่งจะมี ANTENNA ROTATOR ติดตั้งอยู่กับเสาเพื่อหมุนปรับเปลี่ยนทิศทางของสายอากาศ
ISOTROPIC หมายถึง สายอากาศที่สามรถแผ่กระจายคลื่นได้ทุกทิศทางและแรงเท่ากัน
OMIDIRECTIONAL ANTENNA เป็นลักษณะการแผ่กระจายคลื่นออกรอบทิศในแนวขนานพื้นโลก
RADIATION PATTERN หมายถึงรูปแบบการกระจายคลื่นของสายอากาศ
ตัวอย่าง สายอากาศแบบทิศทาง เช่น YAGI ซึ่งมีค่า GAINมาก และมีค่า RADIATION RESISTANE 300 โอห์ม ซึ่งสายอากาศนี้ยังใช้ในการหาสถานีที่กำลังออกอากาศได้ด้วย
1. รีเฟลกเตอร์ 2. ไดรเว่นอีลีเมน 3. ไดรเวกเตอร์ 4. บูม
...*.. ในการติดตั้งสายอากาศของเครื่องรับ-ส่ง ต้องขนานกันถึงจะรับ-ส่งได้ดี ดังนั้นต้องรู้ว่าอีกฝ่าย ติดตั้งแบบไหน HOR หรือ VER HORIZONTAL ขนานพื้นโลก, VORTICAL ตั้งฉากพื้นโลก
การสูญเสียในสายนำสัญญาณ
เราสามารถแบ่งการสูญเสียในสายนำสัญญาณได้ 3 ประเภท คือ
1. การสูญเสียในสายทองแดง (Copper Loss)
2. การสูญเสียไดอีเล็คตริก (Dielectric Loss)
3. การสูญเสียเนื่องจากการแพร่กระจายคลื่นและการเหนี่ยวนำ (Radiation And Induction LOSS) ....
การสูญเสียในสายทองแดง (Copper Loss)
เนื่องจากมีค่าความต้านทานภายในสายนำสัญญาณ ฉะนั้นกระแสที่ไหลผ่านสายทองแดงที่มีค่าความต้านทาน จะเกิดสูญเสียอกกมาในรูปพลังงานความร้อน ความต้านทานของสายตัวนำ ถ้ามีพื้นที่มาก(สายใหญ่)ความต้านทานจะน้อยมาก ถ้าสายมีความยาวมากความต้านทานจะยิ่งมีมากขึ้น หรือในสายทองแดงมีการสูญเสียความถี่ ปรากฏการณ์นี้เกิดจากกระแสถูกต่อต้านจากการเหนี่ยวนำภายในตัวนำ ทำให้กระแสไหลได้น้อยในบริเวณจุดศูนย์กลางของสาย จึงทำให้กระแสส่วนใหญ่ไหลบริเวณผิวของตัวนำและเมื่อความถี่สูงขึ้น กระแสบริเวณจุดศูนย์กลางของสายจะถูกต่อต้านสูงขึ้น ทำให้กระสำไหลได้น้อย นั่นคือความต้านทานของสายสูงขึ้น กระแสจะไหลเฉพาะพ้นผิวตัวนำ เราเรียกว่า Skin Effect ดังนั้นสายที่ใช้งานทางด้านความถี่สูง จึงนิยมเคลือบเงินที่ผิวเพื่อลดค่าความต้านทาน เพราะเงินเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีและกระแสก็จะไหลในพื้นผิวเงินนี้
การสูญเสียไดอีเล็คตริก (Dielectric Loss)
เมื่อมีความต่างศักย์ระหว่างสายตัวนำจะทำให้ เกิดประจุไฟฟ้าขึ้นบนสาย เมื่อมีค่าความต่างศักย์อิเล็กตรอนจะได้รับอิทธิพลจากสนามไฟฟ้า ทำให้การโคจรเสียรูปเดิมไป การสูญเสียไดอิเล็กตริกจะกลายเป็นความร้อน สายบางอย่างมีโครงสร้างอะตอม ซึ่งยากต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น ยาง อากาศ ทำให้สูญเสียไดอิเล็กตริกมีน้อย ดังนั้นไดอิเล็กตริกที่ใช้ ในสายโคแอกเชียลจะต้องเป็นชนิดที่มีการสูญเสียต่ำ เช่น สายโพลีเอทีลีน การสูญเสียไดอีเล็กตริก จะขึ้นอยู่กับแรงดันตกคร่อมไดอีเล็กตริกด้วย สายโคแอกเชียลจะมีย่านความถี่ใช้งาน จำกัดไม่เกินความถี่ GHz ทั้งนี้เป็นผลมาจากการสูญเสียไดอีเลคตริกและการสูญเสียเนื่องจากปรากฎการณ์ ที่ผิวตัวนำ
การสูญเสียเนื่องจากการแพร่กระจายคลื่นและการเหนี่ยวนำ (Radiation And Induction LOSS)
เกิดจากการไหลของกระแส ซึ่งทำให้เกิดสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้ารอบตัวนำ พลังงานที่แพร่กระจายออกไปนี้บางส่วนจะสูญเสียเนื่องจากประจุ และการเหนี่ยวนำวัตถุที่แวดล้อมและใกล้เคียงกับสายตัวนำ การสูญเสียจะมีค่าน้อยก็ต่อเมื่อเราต่อโหลดแมทช์และ ชีลด์สายไม่ให้เกิดการแพร่กระจายคลื่นเล็ดรอดออกมาภายนอก ดังนั้นสายโคแอกเชียลจึงมีการสูญเสียการแพร่กระจายคลื่นน้อยเพราะมีชีลด์ อยู่ในตัว
สายอากาศ
สายอากาศเป็นส่วนที่สำคัญของเครื่องรับและเครื่องส่ง ซึ่งทำหน้าที่แพร่กระจายคลื่นจากเครื่องส่งออกอากาศ และรับคลื่นวิทยุเข้าสู่เครื่องรับ สายอากาศประกอบไปด้วยลวดตัวนำเป็นท่อตันหรือกลวง ทำหน้าที่เสมือนวงจรไฟฟ้า ที่มีตัวเหนี่ยวนำและตัวเก็บประจุต่ออยู่ ลวดตัวนำอาจเป็นเส้นตรงหรืองอโค้ง แล้วแต่ชนิดของสายอากาศโดยทั่วไปจะมีขนาดความยาวใกล้เคียงกับความยาวคลื่น l (แลมด้า Lamda) เราจึงสามารถใช้สายอากาศทำหน้าที่ได้ทั้งสายอากาศส่งหรือสายอากาศรับ
การแพร่กระจายคลื่นสายอากาศแบบนี้จะหักล้างกันน้อยมาก และสามารถส่งออกอากาศได้มาก สนามแม่เหล็กจะกระจานไปรอบๆทำให้การแพร่คลื่นออกได้เต็มที่ ซึ่งเราเรียกสายอากาศแบบนี้ว่า ไดโพล ความยาวของสายอากาศแต่ละข้างยาวเท่ากับ l/4 ความยาวรวมเท่ากับ l/2 เราเรียกสายอากาศชนิดนี้ว่า ฮาฟเวฟไดโพล (Half Wave Dipole) จุดกลางของสายอากาศเราจะป้อนสัญญาณเข้าเรียกว่า จุดฟิด (feed point) ซึ่งจะมีกระแสไหลมากที่สุดและแรงดันน้อยที่สุดที่จุดฟิด จะมีอิมพีแดนช์ของสายอากาศเท่ากับ 73 โอห์ม และมีกระแสไหลน้อยที่สุดมีแรงดันมากที่สุดที่บริเวณปลายสุดของสายอากาศทั้ง สองข้าง กระจายออกสู่อากาศวิ่งจะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้นด้วย เพราะมีกระแสไหลในสายอากาศเนื่องจากกระแสไหลมากที่สุดบริเวณจุดฟีด สนามแม่เหล็กตรงจุดฟีดจึงแรงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถกระจายออกอากาศไป ได้ไกล สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดเหนี่ยวนำบนเส้นลวดสายอากาศเราเรียกค่าที่วัดได้ ว่า ความแรงสนาม (Field Strength) ความแรงสนามจะขึ้นอยู่กับระยะห่างจากเครื่องส่งและกำลังส่ง ความแรงจะน้อยลง ณ จุดที่ห่างออกไป
รูปแบบการแพร่กระจายของคลื่นและบีมวิดท์
เป็นการเขียนรูปแบบเพื่อแสดงความสามารถในการส่งหรือรับสัญญาณของสายอากาศ ชนิดต่าง ๆ เนื่องจากความสามารถของสายอากาศในการแพร่กระจายคลื่นในทิศทางต่าง ๆ ไม่เท่ากันดังรูป A.
บีมวิดท์เป็นการวัดความกว้างของลำคลื่น โดยพิจารณาเฉพาะคลื่นในทิศทางที่รุนแรงที่สุด แล้วอ่านค่าความกว้างของมุม ดังรูป B.
อัตราการขยายของสายอากาศ
เป็น การเปรียบเทียบ out put ของสายอากาศในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเทียบกับ out put ของสายอากาศอ้างอิง (Reference Antenna) ปกติเรานิยมใช้สายอากาศไดโพลชนิดฮาฟเวฟ เป็นสายอากาศอ้างอิง เช่น สมมุติว่าสายอากาศมีอัตราขยาย 20 dB (หรือ 20 เท่า) หมายความว่า ในทิศทางนั้นส่ายอากาศต้นนั้นลงคลื่นออกไปแรงกว่าสายอากาศอ้างอิงอยู่ 20 dB ถ้าสายอากาศออกไปได้ดีในทิศทางหนึ่ง ส่วนทิศทางอื่นก็จะด้อยลงไป อัตราการขยาย (Gain) ของสายอากาศไม่ได้หมายความว่ากำลัง Out put ของสายอากาศมากกว่ากำลัง In put หากแต่เป็นอัตราขยายที่คิดเทียบกับสายอากาศอ้างอิง
อัตราการขยายของสายอากาศ
สายอากาศไดโพลเป็นสายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดความยาวของสายเท่ากับ ที่ความถี่ใช้งานเราสามารถคำนวณความยาวได้จากสูตร
l = ความถี่คลื่นมีหน่วยเป็นเมตร
F = ความถี่ใช้งานมีหน่วยเป็น เฮิร์ต (Hz)
เนื่องจากคลื่นเดินทางในอากาศ (free space) หรือคลื่นเดินทางในตัวนำด้านปลาย เสมือนมีความยาวทางไฟฟ้ามากกว่าปกติ จึงต้องใช้สูตร
รูปการ แพร่กระจายคลื่นของสายอากาศแบบฮาฟเวฟไดโพล จะแพร่กระจายคลื่นเท่ากันหมดในทิศทางรอบตัวของสายอากาศ และการแพร่กระจายคลื่นจะน้อยที่สุดในทิศทางชี้ฟ้าและลงดินของสายอากาศ
สายอากาศแนวดิ่ง
เรา ต้องใช้สายอากาศที่วางตัวในแนวดิ่งจึงทำให้ติดตั้งลำบาก สายอากาศชนิดฮาฟเวฟไดโพล จึงต้องยกสายอากาศให้สูงจากพื้นดินมาก ถ้าเราวางสายอากาศที่มีความยาว l/4 บนระนาบตัวนำเพื่อทำหน้าที่เป็นกราวนด์ (Perfect ground) จะได้เสมือนกับใช้สายอากาศไดโพลชนิดฮาฟเวฟ เพราะระนาบกราวด์เสมือนกระจกที่ทำให้เกิดลวดสายอากาศอีกเส้นหนึ่ง l/4
รวมความยาวทั้งสองข้างเท่ากับ l /2สายอากาศชนิดนี้จะทำงานได้ดีก็ต่อ เมื่อพื้นกราวนด์เป็นตัวนำ ถ้าหากติดตั้งบนพื้นดินที่มีคุณสมบัติเป็นตัวนำไม่ดี
เรา จะต้องสร้างพื้นกราวนด์เพิ่มอีก โดยใช้ลวดทองแดงต่อออกจากฐานของสายอากาศไปรอบทิศทาง อย่างน้อย 4-5 ทิศทาง เราเรียกว่า Radial จะทำหน้าทีเป็นเสมือนกราวนด์ให้แก่สายอากาศ สายอากาศชนิดควอเตอร์เวฟจะมีค่า Zo อิมพีแดนช์ ประมาณ 36 โอห์ม เราจึงสามารถใช้สายนำสัญญาณแบบโคแอกเชียลต่อได้โดยตรง ไม่ต้องมีบาลัน โดยชีลด์ของสายโคแอกเชียลต่อกับกราวนด์ได้เลย สายอากาศประเภทนี้นิยมนำไปใช้เป็นสายอากาศแบบติดรถยนต์โดยใช้ตัวถังรถยนต์ เป็นตัว Radial หรือสายอากาศแบบกราวนด์เพลน 5/8 เป็นต้น
ในบางครั้งเราจำเป็นต้องจำกัดทิศทางการแพร่กระจายคลื่น เราจะใช้สายอากาศแบบทิศทาง ซึ่งเราเรียกสายอากาศชนิดนี้ว่าแบบ ยากิ (YAKI )
สายอากาศแบบทิศทาง ยากิ (Yaki)
ถ้าเรานำสายอากาศหลายๆชุดมาต่อเรียงแถว เรียกว่าเป็นแอเรย์ อัตราขยายของสายอากาศจะมากขึ้น และสามารถควบคุมทิศทางการแพร่คลื่นได้
สายอากาศที่ไม่ได้ต่อเข้ากับสายนำสัญญาณ แต่สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสหรือ แรงดันบนตัวสาย อากาศเราเรียกว่า Parasitic Element ดังรูป
จาก รูป อีลิเมนท์จะวางห่างจากไดโพลเป็นระยะห่างเท่ากับ l/4 เราเรียกไดโพลว่า ตัวถูกขับ ( Driven Element ) ซึ่งมีความยาวเท่ากับ l/2
ถ้าเรารับ คลื่นเข้ามาจะเข้าที่ ไดเรกเตอร์ ( Director) ซึ่งมีความยาวจะสั้นกว่า l/2 ประมาณ 5 % และความยาวของไดเรกเตอร์จะอยู่ห่างจาก ตัวขับประมาณ 0.1l จะเกิดการเหนี่ยวนำ เฟสจะเปลี่ยนไป90 องศา พอคลื่นเหนี่ยวนำลงบนไดโพล ก็จะมีเฟสกลับทางไป 180 องศา และจากไดโพลจะเหนี่ยวนำไปยัง รีเฟลกเตอร์ ( Reflector ) ซึ่งรีเฟลกเตอร์จะเหนี่ยวนำเกิดกระแสไหลในตัวรีเฟลกเตอร์แล้วจะแพร่คลื่นออก มาเหนี่ยวนำที่ ตัวถูกขับ ( Driven Element ) จะเปรียบเสมือนรีเฟลกเตอร์เป็นตัวสะท้อนคลื่นนั้นเองซึ่งจะอยู่ห่างจากไดโพ ลประมาณ 0.18l ถึง 0.2l และมีความยาวของรีเฟลกเตอร์มักจะยาวกว่า ไดโพล ประมาณ 5 %
ในการส่งออกอากาศนั้นสายอากาศยากิ 3 อิลีเมนท์ จากรูป ข แสดงให้เห็นการแพร่กระจายคลื่นของไดโพล และการเสริมของรูปแบบการแพร่กระจายคลื่นของตัวรีเฟลกเตอร์กับไดเรกเตอร์ ทำให้เราได้รูปแบบรวมเป็นลักษณะบีมเดียว บีมวิดท์แคบลงอัตราขยายสูงขึ้น เราสามารถเพิ่ม อีลิเมนท์ของไดเรกเตอร์ให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่ออัตราการขยายของสายอากาศให้สูงขึ้นไปอีกด้วย
ไดโพล 4 ห่วง
การแพร่กระจายคลื่น Polarisation
Antenna จานสายอากาศทำหน้าที่แพร่กระจายและรับคลื่นสัญญาณ โดยมีรูปแบบการกระจายแบบต่างๆ คือ
• Linear Polarisation การแพร่กระจายคลื่นเป็นแนวตรง ได้แก่
o Horizontal Polarisation การแพร่กระจายคลื่นในแนวนอน
o Vertical Polarisation การแพร่กระจายคลื่นในแนวตั้ง
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
เมื่อใช้จานสายอากาศแบบLinear จะอ่าน Tag ได้ดีที่สุดเมื่อTagผ่านเข้ามาในแนวนอนและแนวดิ่ง
• Circular Polarization การแพร่กระจายคลื่นเป็นวงกลม
o Righthand Circular Polarization: RHCP การแพร่กระจายคลื่นเป็นวงกลมเวียนขวา
o Lefthanded Circular Polarization: LHCP การแพร่กระจายคลื่นเป็นวงกลมเวียนซ้าย
สำหรับจานสายอากาศแบบ Circular จะอ่าน Tag ได้แม้ไม่อยู่ในแนวตรง
การวัดอัตรากำลังขยาย(Gain)ของจานสายอากาศ หน่วยวัดเป็น dBi
แบบLinear ใช้หน่วยวัดเป็น dBi (Isotropic)
แบบCircular ใช้หน่วยวัดเป็น dBiC (Circular)
เทียบค่า Gain (dBi) = dBiC - 2.15 dBi เช่น เมื่อต้องการเทียบว่า 7.5 dBiC เท่ากับกี่ dBi
Gain (dBi) = 7.5 dBiC - 2.15 = 5.35 dBi
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)